วันอังคาร, 1 กรกฎาคม 2568

ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย เชื่อมโยงเหตุคนร้ายยิงสามเณรเสียชีวิต ในพื้นที่ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อ 22 เมษายน 2568

จากการขยายผลจากผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยได้ให้การรับสารภาพข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ ว่าเป็น ตนเอง (ผู้ต้องสงสัย) เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ ในพื้นที่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี และพื้นที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และได้ให้ข้อมูลว่ายังมีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับเหตุยิงสามเณรเสียชีวิต ในพื้นที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อ 22 เมษายน 2568 จำนวน 2 ราย คือ นายอับดุลเลาะ (สงวนนามสกุล) และนายอับดุลอาซิซ (สงวนนามสกุล) ซึ่งยังคงหลบหนีกบดานอยู่ในพื้นที่

ล่าสุดวันนี้ (24 มิถุนายน 2568) เวลาประมาณ 06.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ และฝ่ายปกครองในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ หมู่ที่ 2 ตำบลเปียน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา โดยได้เชิญผู้ใหญ่บ้าน และเครือญาติของบุคคลต้องสงสัย เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตามกฎหมายทุกขั้นตอน ซึ่งผลจากการดำเนินการเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัว นายอับดุลอาซิซ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องสงสัยที่อยู่ภายในบ้าน เข้าสู่กรรมวิธีซักถามขยายผลและจะนำเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ดำเนินการในทุกขั้นตอนเป็นไปตามหลักนิติธรรม และเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ว่า เจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนจะไม่ละเลยต่อเหตุคดีความรุนแรง และทุกคดีจะได้รับการติดตาม เพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ สามารถแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรง แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โทร 061-1732999 หรือเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งขอเรียนให้ทราบว่าผู้ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิดด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การนำพาซ่อนเร้น การให้การสนับสนุนที่พักพิง หรือการสนับสนุนเสบียงอาหาร จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ