
จากเหตุคนร้ายวางระเบิดที่สร้างความตื่นตระหนกในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างกระบี่ พังงา และภูเก็ต เมื่อวันที่ 23-24 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเกิดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุได้รวม 5 ราย จาก 20 ราย ยังคงหลบหนีอีก 15 ราย โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจยึดรถกระบะที่ใช้รับ-ส่งผู้ก่อเหตุ โดยรถยนต์ที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายผู้ก่อเหตุคือ รถยนต์กระบะมิตซูบิชิ ไตรทัน สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กท 5429 ปัตตานี ซึ่งถูกใช้ในการลำเลียงผู้ก่อเหตุจากอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ไปยังอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะไปรับรถคันที่ขับไปใช้ในการวางระเบิดในพื้นที่ 3 จังหวัดท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน โดยเจ้าหน้าที่สามารถสืบสวนจนพบรถยนต์ที่ใช้ในการรับ-ส่งคนร้ายจอดชุกซ่อนอยู่ในบ้านเลขที่ 179/8 หมู่ที่ 5 ตำบลคลองใหม่ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี จึงได้เข้าทำการตรวจยึดรถเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอเรียนให้สาธารณชนทราบว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้พยายามดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินการลงโทษโดยเร็วที่สุด และให้ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด ดังเช่นในกรณีที่เกิดนี้ ดำเนินการยึดแต่รถที่ก่อเหตุ แต่ไม่จับกุมประชาชนที่อยู่ในบ้านหลังดังกล่าว เนื่องจากอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระทำผิด ซึ่งอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน แต่หากตรวจพบภายหลังว่า มีส่วนร่วมสนับสนุนในการ กระทำผิดจะดำเนินการตามกฎหมาย ต่อบุคคลดังกล่าว ต่อไป

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารสามารถส่งต่อได้อย่างรวดเร็ว ขอให้พี่น้องประชาชน อย่าหลงเชื่อ หรือแชร์ข้อมูล และโปรดใช้วิจารณญาณในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนที่จะเชื่อ หรือก่อนส่งต่อข้อมูลดังกล่าวออกไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากสื่อที่เป็นทางการสามารถพิสูจน์ตัวตนได้ หรือสามารถตรวจสอบได้ที่ สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า หมายเลข 1341 หรือสายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 หมายเลข 06 -1173 – 2999 ขอความร่วมมือจากประชาชนทุกท่าน ช่วยกันหยุดยั้งการแพร่กระจายของข่าวปลอม เพื่อความสงบเรียบร้อยในสังคม และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทั้งนี้ การเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข้อมูลอันเป็นเท็จ อาจเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซึ่งจะมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
