วันศุกร์, 7 พฤศจิกายน 2568

“พิพัฒน์” ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช มอบนโยบายรับมืออุทกภัยปี 2568 ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติจริง เน้นประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชน

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินทางไปยังหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เพื่อมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานด้านการเตรียมการป้องกันอุทกภัยปี 2568 พร้อมติดตามความพร้อมของจังหวัดในการรับมือสถานการณ์ภัยธรรมชาติ โดยมี นายอารี ไกรนรา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายก นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง นายพิชิต หุ่นศิริ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ผู้บริหารสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมงาน และมีนายสมชาย ลีหล้าน้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช และ หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด นายอำเภอ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับมอบนโยบายอย่างพร้อมเพรียง กว่า 1,800 คน

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการน้ำ และมอบแนวทางขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้เกิดผลจริงในระดับพื้นที่ เพื่อให้ “ทุกนโยบายเดินไปในทิศทางเดียวกัน และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน” จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านเกษตรกรรม การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม และพลังงาน เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ตอนล่าง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมานานหลายสิบปี โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ เช่น อำเภอทุ่งสง ฉวาง พิปูน ปากพนัง และบริเวณรอยต่อเขาหลวง รัฐบาลจึงมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนอยู่ได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ในวันนี้ ได้มอบนโยบายโดยเน้นย้ำ 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.การเตรียมการรับมืออุทกภัยปี 2568 และ 2.แนวทางขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติในพื้นที่ โดย การเตรียมการรับมืออุทกภัย ปีนี้สภาพอากาศแปรปรวนและมีแนวโน้มฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของภาคใต้ รัฐบาลจึงให้ทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช จัดทำแผนป้องกันอุทกภัยอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกด้าน ด้านการเตรียมความพร้อม: ติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด ซ้อมแผนเผชิญเหตุประจำปี ตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน ฝาย และพนังกั้นน้ำ พร้อมจัดตั้งศูนย์พักพิง 183 แห่ง รองรับประชาชนได้กว่า 121,000 คน และศูนย์พักพิงร่วมใจฯ อีก 4 แห่งด้านการบริหารพื้นที่เสี่ยง: ขุดลอกคูคลอง เพิ่มเครื่องสูบน้ำในเขตชุมชน เศรษฐกิจ และริมแม่น้ำ พื้นที่ชายฝั่งให้บูรณาการร่วมกับกรมเจ้าท่าและตำรวจน้ำ ควบคุมการเดินเรือช่วงคลื่นลมแรง ส่วนพื้นที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น น้ำตกหรืออุทยาน ให้เฝ้าระวังและจำกัดการเข้าออกเมื่อมีความเสี่ยงด้านการเผชิญเหตุและฟื้นฟู: จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ทุกระดับ ระดมกำลังฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และจิตอาสาเข้าช่วยเหลือประชาชน ซ่อมแซมถนน บ้านเรือน และระบบคมนาคมให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็วด้านการจัดการขยะและวัชพืชกีดขวางทางน้ำ: เร่งกำจัดผักตบชวาและวัชพืชกว่า 689,000 ตัน เพื่อเปิดทางระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วม

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยงสำคัญ เช่น ทางหลวงหมายเลข 4103 (ปากพูน–เบญจม) ซึ่งเป็นเส้นทางหลักเชื่อมเมืองกับสนามบิน ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยจะจัดสรรงบประมาณแก้ไขอย่างถาวร นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติจริง มีแนวนโยบายสำคัญ 5 ด้านที่ทุกจังหวัดต้องร่วมกันขับเคลื่อน ได้แก่ 1.ด้านเศรษฐกิจ: ดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ให้ประชาชน 2.ด้านความมั่นคง: แก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ควบคู่กับการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ 3.ด้านสังคม: ปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมออนไลน์ ภายใต้นโยบาย ผู้เสพคือผู้ป่วย ผู้ค้าต้องถูกดำเนินคดี 4.ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยง ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน 5.ด้านการบริหารภาครัฐ: ปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคภายใต้โครงการ “Guillotine Law Reform” เพื่อให้ระบบราชการคล่องตัว โปร่งใส และตอบสนองประชาชนมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถนนกว่า 182 สาย เพื่อเพิ่มศักยภาพการคมนาคมและเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะถนนสายสำคัญ ทางหลวงหมายเลข 4189 (นบพิตำ–พิปูน) ที่จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงโครงการระบบระบายน้ำหลักใน 4 อำเภอ เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจและเกษตรกรรม การป้องกันอุทกภัยและการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชน เมื่อทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจทำงานไปในทิศทางเดียวกัน จังหวัดนครศรีธรรมราชจะสามารถก้าวข้ามปัญหาภัยธรรมชาติ และพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน – นายพิพัฒน์กล่าวปิดท้าย