วันอาทิตย์, 3 สิงหาคม 2568

ผอ.ศูนย์สันติวิธี ร่วมเวทีนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบาย Peace Survey “โครงการขับเคลื่อนผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้”

 วันนี้ (8 กรกฎาคม 2568) เวลา 10.15 น. ณ ห้องประชุมอัล-อัยยูบีร์ คณะวิทยาการอิสลามนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี พลตรี เฉลิมชัย สุทธินวล ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี เป็นวิทยากรร่วมอภิปรายกิจกรรมเครือข่ายวิชาการ Peace Survey ได้จัดงานนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการประมวลผลข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ (Peace Survey) ครั้งที่ 1 – 7 โดยดำเนินการระหว่างปี 2559 – 2566 ครอบคลุมประชาชนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และพื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อาจารย์ประจำสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะตัวแทนเครือข่าย วิชาการ Peace Survey ได้นำเสนอสรุปสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดขายแดนภาคใต้ นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2568 ว่ามีเหตุการณ์ความไม่สงบจำนวน 23,191 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 7,736 คน และผู้บาดเจ็บ 14,630 คน แม้ว่าแนวโน้มสถานการณ์ความไม่สงบจะลดลงอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ภายหลังจากมีกระบวนการพูดคุยสันติภาพ / สันติสุขระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ แต่ก็ยังมีความแปรปรวน ระดับความถี่ของเหตุการณ์ได้สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ผศ.ดร.ศรีสมาพวิเคราะห์ว่า ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น มีลักษณะเป็น ความยืดเยื้อเรื้อรังและต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สถานการณ์ปัจจุบัน มีแนวโน้มว่าความรุนแรงจะมีความถี่มากขึ้นในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแนวทางการสร้างสันติสุขในจะช่วยลดความรุนแรงได้ด้วยการเสริมสร้างแรงถ่วงดุลความรุนแรงจากภายใน สังคมคือ การพูดคุยสันติสุขระหว่างรัฐบาลกับขบวนการฯ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการมีส่วนร่วมของภาคประชา สังคมภายในพื้นที่ จากทุกกลุ่มทุกฝ่ายจะเสริมพลังในสังคมในการลดความรุนแรงจากทุกฝ่าย ทั้งทางกายภาพและในเชิงโครงสร้าง อีกปัจจัยหนึ่งคือการสร้างและขยายพื้นที่ในการสื่อสารสันติภาพเพื่อแปรเปลี่ยนความ ขัดแย้งในสังคม ผ่านช่องทางการส่งเสียงความคิดเห็นและข้อเรียกร้องของประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ สถาบันทางวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคมทั้งในและนอกพื้นที่กว่า 25 องค์กรจึงได้รวมตัวเป็นเครือข่ายในนาม “เครือข่ายวิชาการ Peace Survey” เพื่อศึกษาวิจัยและสำรวจความคิดเห็นของประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อแนวทางการคลี่คลายความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึง ปัจจุบัน การสำรวจสันติภาพหรือ Peace Survey ได้ดำเนินการมาแล้ว 7 ครั้ง จาการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนกว่า 10,582 คน จนได้เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการวิเคราะห์และจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย ต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

8 ข้อเสนอที่สำคัญจากประชาชนในพื้นที่ ได้แก่
ข้อเสนอที่ 1 การลดความรุนแรงและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน, ข้อเสนอที่ 2 สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม, ข้อเสนอที่ 3 พัฒนาเศรษฐกิจบนฐานทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของพื้นที่ และยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชาชน, ข้อเสนอที่ 4 ส่งเสริมการเคารพสิทธิทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์, ข้อเสนอที่ 5 สานต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพ/สันติสุขที่ครอบคลุมทุกฝ่าย และมีกลไกรับรองให้การพูดคุยฯ มีเสถียรภาพ, ข้อเสนอที่ 6 เพิ่มบทบาทของประชาชน สร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างครอบคลุมทุกฝ่าย, ข้อเสนอที่ 7 กระจายอำนาจการปกครองมากขึ้นให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของพื้นที่, ข้อเสนอที่ 8 พัฒนาและปรับปรุงกลไกการสื่อสาร เพื่อสร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ประสานความเข้าใจระหว่างผู้คนต่างวัฒนธรรม/พื้นที่

 พลตรี เฉลิมชัย สุทธินวล ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้เน้นย้ำถึงบทบาทของกฎหมาย ในการควบคุมพื้นที่ให้เกิดความปลอดภัย โดยถือเป็นเครื่องมือเดียวที่รัฐมี ซึ่งต้องใช้อย่างจำกัดและอยู่ภายใต้หลักเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิทธิของประชาชน ทั้งนี้ หากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดเหตุไม่สงบในหลายพื้นที่ นอกจากปัญหาด้านความมั่นคง ประเด็นยาเสพติดยังเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขควบคู่กับการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ซึ่งพลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นอย่างมาก โดยย้ำว่า รัฐมีจุดยืนชัดเจนในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยอย่างเท่าเทียม โดยไม่เลือกปฏิบัติ สำหรับการดำเนินการกับกลุ่มที่เคลื่อนไหว รัฐมีมาตรการทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ “หลงผิด” ได้กลับตัวและคืนสู่สังคม พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของความขัดแย้ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเจรจาและการสร้างสันติภาพ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่างเห็นตรงกันว่า การสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างรัฐและประชาชน ต้องอาศัยเวลา ความอดทนและการสื่อสารที่จริงใจและต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและเคารพในความแตกต่างได้อย่างยั่งยืน”